04.00 น. คณะพบเจ้าหน้าที่และมัคคุเทศก์ได้ที่ เคาน์เตอร์เชคอิน U ประตูทางเข้าที่ 9 หรือ 10 อาคารผู้โดยสารขาออก เคาน์เตอร์สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ส (TK) ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
06.25 น. ออกเดินทางสู่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยเที่ยวบิน TK 59 (ใช้เวลาบินประมาณ 9.30 ชั่วโมง) เพลิดเพลินกับภาพยนตร์หลากหลายกับ จอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง และสายการบินฯ บริการ อาหารเช้าและอาหารกลางวัน ระหว่างเที่ยวบินสู่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี
13.25 น. เดินทางถึงกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี นำท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่อาคารผู้โดยสารในประเทศเพื่อขึ้นเที่ยวบินสู่เมืองไคเซรี่ (Kayseri) เที่ยวบิน TK2014
16.10 น. ออกเดินทางจากสนามบินอิสตันบูล (IST) สู่สนามบินเมืองไคเซรี่ (Kayseri) โดยสายการบินเตอร์กิชแอร์ไลน์ส โดยเที่ยวบิน TK2014 มีบริการอาหารว่างบนเครื่องบิน (ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชม.)
17.35 น. เดินทางถึงสนามบินเมืองไคเซรี่ นำท่านเดินทางสู่โรงแรมที่พัก
ค่ำ รับประทานค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
นำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก Exedra Cave Hotel ***** หรือเทียบเท่า (คืนที่ 1)
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
หมายเหตุ : .ในกรณีที่ท่านต้องการขึ้นบอลลูนซึ่งจัดเป็น Optional Tour ท่านสามารถเลือกซื้อได้เอง ราคาประมาณ 280-300 USD แต่ประกันการเดินทางที่บริษัททำให้ ไม่ครอบคลุมการขึ้นบอลลูนและเครื่องร่อนทุกชนิด ดังนั้นการซื้อ Optional Tour นี้ ขึ้นกับดุลยพินิจของท่าน ซึ่งเป็นส่วนนอกเหนือจากโปรแกรมที่บริษัทจัด ดังนั้นหากเกิดมีปัญหาบอลลูนขึ้นไม่ได้หรือปัญหาอื่นๆ ท่านต้องติดต่อกับทาง supplier ในส่วนบอลลูนเอง
นำท่านชมเมืองคัปปาโดเกีย(Cappadocia)ดินแดนที่มีภูมิประเทศอันน่าอัศจรรย์แปรสภาพเป็นหุบเขา ร่องลึก เนินเขา กรวยหินและเสารูปทรงต่างๆ ที่งดงามคัปปาโดเกีย(Cappadocia) เป็นชื่อเก่าแก่ภาษาฮิตไทต์ (ชนเผ่ารุ่นแรกๆที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้) แปลว่า“ดินแดนม้าพันธุ์ดี” ตั้งอยู่ทางตอนกลางของตุรกี เป็นพื้นที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเออซิเยสและภูเขาไฟฮาซาน เมื่อประมาณ 3 ล้านปีที่แล้ว เถ้าลาวาที่พ่นออกมาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาลกระจายทั่วบริเวณ จนทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมาจากนั้นกระแส น้ำ ลม ฝน แดด และหิมะกัดเซาะกร่อนกินแผ่นดินภูเขาไฟไปเรื่อยๆนับแสนนับล้านปีจนเกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตาน่าพิศวง ที่เต็มไปด้วยหินรูปแท่ง กรวย ปล่อง กระโจม โดม และอีกสารพัดรูปทรงดูประหนึ่งดินแดนในเทพนิยายจนผู้คนในพื้นที่เรียกขานกันว่า “ปล่องไฟนางฟ้า” ในปีค.ศ.1985 ยูเนสโกได้ประกาศให้พื้นที่มหัศจรรย์แห่งนี้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมแห่งแรกของตุรกี
นำท่านเข้าชมนครใต้ดิน (Underground city of Kaymakli) ซึ่งเป็นเมืองใต้ดินที่มีครบทุกอย่าง ทั้งห้องโถง ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องถนอมอาหาร ห้องครัว ห้องอาหาร โบสถ์ ทางหนีฉุกเฉิน ฯลฯซึ่งสาเหตุแท้จริงของการสร้างเมืองใต้ดินปัจจุบันยังสรุปไม่ได้ส่วนใหญ่ต่างลงความเห็นว่าเป็นการสร้างเพื่อใช้เป็นที่หลบภัยจากข้าศึกศัตรู (โดยเฉพาะพวกทหารโรมัน) แม้จะเป็นเมืองขนาดใหญ่ขุดลึกลงไปใต้ดินหลายชั้นแต่ว่าอากาศในนั้นกลับถ่ายเทเย็นสบายเนื่องจากเป็นหินภูเขาไฟ อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 17-18 องศาเซลเซียสหน้าร้อนอากาศเย็น หน้าหนาวอากาศอบอุ่น
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านเดินทางสู่ เมืองเกอเรเม่(Goreme Open-air Museum) เพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในช่วง ค.ศ. 9 ซึ่งเป็นความคิดของชาวคริสต์ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนาโดยการขุดถ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างโบสถ์และยังเป็นการป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าลัทธิอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์ ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเผยแพร่ในคัปปาโดเกียผู้คนแถบนี้นับถือเทพเจ้ากรีก-โรมัน จนเมื่อประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1 “เซนต์ปอล”เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในคัปปาโดเกียแต่ดูเหมือนว่าชาวโรมันผู้ปกครองในยุคนั้นจะไม่ให้การยอมรับทำให้ผู้นับถือศาสนาคริสต์ในคัปปาโดเกียต้องหลบซ่อนการรังควานของโรมัน ด้วยการเจาะถ้ำขุดพื้นดินลงไปเป็นอุโมงค์ เกิดเป็นเมืองใต้ดินขึ้นมา และได้ขุดเจาะบริเวณเกอเรเม่ทำเป็นโบสถ์ถ้ำจำนวนมากกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 5-6 ชาวโรมันให้การยอมรับศาสนาคริสต์สำหรับโบสถ์ถ้ำในเกอเรเม่ ว่ากันว่ามีถึง 365 หลังด้วยกัน (สร้างตามจำนวนวันใน 1 ปี) แต่ปัจจุบันเปิดให้ชมเพียงบางส่วนเท่านั้นอิสระให้ท่านได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ได้เวลานำท่านแวะชมโรงงานทอพรม โรงงานเซรามิค พร้อมจับจ่ายซื้อของฝากตามอัธยาศัย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่นพร้อมชมโชว์ระบำหน้าท้องอันลือชื่อของตุรกีภายในภัตตาคารถ้ำ
นำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก Exedra Cave Hotel ***** หรือเทียบเท่า (คืนที่ 2)
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่เมืองคอนย่า (Konya) (ระยะทาง 240 กม. ใช้เวลาเดินทาง 3 ชม.) อดีตเมืองหลวงของอาณาจักรเซลจูคในช่วงปี ค.ศ. 1071 – 1308 รวมทั้งยังเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของภูมิภาคแถบนี้ ท่านจะได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่งดงามตามธรรมชาติตลอดสองฝั่งทางของภูมิภาคตอนกลางของตุรกีระหว่างทางนำท่านเข้าชม“คาราวานสไรน์”ที่พักแรมและที่แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างทางของชาวเติร์กในสมัยออตโตมันนำท่านเดินทางต่อสู่เมืองคอนย่า ท่านจะได้ชมวิถีชีวิตตามชนบทและทัศนียภาพที่สวยงามของทุ่งหญ้าสลับกับภูเขา นำท่านเข้าชมพิพิธภัณฑ์เมฟลานา (Mevlana museum)หรือสำนักลมวน ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1231 โดย เมฟลานาเจลาเลดดิน รูบี ซึ่งเชื่อกันว่าชายคนนี้เป็นผู้วิเศษของศาสนาอิสลาม พิพิธภัณฑ์เมฟลานาเดิมเป็นสถานที่นักบวชในศาสนาอิสลามในการทำสมาธิ (Whirling Dervishes) โดยการเดินหมุนเป็นวงกลมขณะฟังเสียงขลุ่ย ส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์เป็นสุสานของเมฟลานา เจลาเลดดินภายนอกเป็นหอทรงกระบอกปลายแหลมสีเขียวสดใส ภายในประดับประดาฝาผนังแบบมุสลิมและยังเป็นสุสานสำหรับผู้ติดตาม สานุศิษย์บิดา และบุตรของเมฟลานา
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านเดินทางสู่เมือง ปามุคคาเล่ (Pamukkale) (ระยะทาง 330 กม. ใช้เวลาเดินทาง 4 ชม.)คำว่า “ปามุคคาเล่” ในภาษาตุรกี หมายถึง“ปราสาทปุยฝ้าย”เป็นน้ำตกหินปูนสีขาวที่เกิดขึ้นจากธารน้ำใต้ดินที่มีอุณหภูมิประมาณ 35 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นที่มีแร่หินปูน (แคลเซียมออกไซด์)ผสมอยู่ในปริมาณที่สูงมาก ไหลรินลงมาจากภูเขา “คาลดากึ” ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือ รินเอ่อล้นขึ้นมาเหนือผิวดินและทำปฏิกิริยาจับตัวแข็งเกาะกันเป็นริ้ว เป็นแอ่ง เป็นชั้นลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศ เกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติอันสวยงามแปลกตาและโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ยากจะหาที่ใดเหมือนจนทำให้ ปามุคคาเล่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมในปีค.ศ. 1988
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก
นำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก Pam Thermal Hotel Pamukkale***** หรือเทียบเท่า
หมายเหตุ ท่านสามารถแช่น้ำแร่ที่โรงแรมได้ กรุณาเตรียมชุดว่ายน้ำและหมวกไปด้วย
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่านเข้าชมปราสาทปุยฝ้าย (ปามุคคาเล่) เมืองแห่งน้ำพุเกลือแร่ร้อน นำท่านชมหน้าผาที่ขาวกว้างใหญ่ด้านข้างของอ่างน้ำ เป็นรูปร่างคล้ายหอยแครงและน้ำตกแช่แข็ง ถ้ามองดูจะดูเหมือนสร้างจากหิมะ เมฆหรือปุยฝ้ายน้ำแร่ที่ไหลลงมาแต่ละชั้นจะแข็งเป็นหินปูนห้อยย้อยเป็นรูปร่างต่างๆอย่างมหัศจรรย์ น้ำแร่นี้มีอุณหภูมิประมาณ 33-35.5 องศาเซลเซียส ประชาชนจึงนิยมไปอาบหรือนำมาดื่มเพราะเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ ความดันโลหิตสูงโรคทางเดินปัสสาวะ และโรคไต ซึ่งในอดีตกาลชาวโรมันเชื่อว่าน้ำพุร้อนสามารถรักษาโรคได้ จึงได้สร้างเมืองเฮียราโพลิสล้อมรอบ
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านเดินทางสู่เมืองเอฟฟิซุส (City of Ephesus)ซึ่งเป็นเมืองอาณาจักรโรมัน (ต่อมาหลังจากยุคกรีก)ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียในสมัยนั้นในอดีตเอฟฟิซุสเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของโรมัน ในคาบสมุทรอนาโตเลียเป็นศูนย์กลางการค้า การคมนาคม ตั้งอยู่ริมทะเล จนได้รับการกำหนดให้เป็นเมืองหลวงแห่งเอเชียของอาณาจักรโรมันเมืองเอฟฟิซุสมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งแต่ยุคกรีกโบราณซากเมืองที่เห็นในปัจจุบันมีความสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกอาจจะเป็นรองแค่ปอมเปอีเท่านั้นนำท่านเข้าชมห้องอาบน้ำแบบโรมันโบราณ (Roman Bath) ที่ยังคงเหลือร่องรอยของห้องอบไอน้ำให้เห็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ นำท่านชม วิหารแห่งจักรพรรดิเฮเดรียน (Temple of Hadrian)ซึ่งเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่อีกองค์หนึ่งของโรมันความโดดเด่นของวิหารแห่งนี้คืออยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มากด้านหน้าสร้างเป็นเสา โครินเธียน 4 ต้น คู่กลางรองรับโค้งครึ่งวงกลมที่เรียงอย่างสวยงามโค้งด้านหลังมีภาพแกะสลักเป็นรูปนางเมดูซ่าหัวเป็นงูนำชมอาคารที่โดดเด่นที่สุดจนเป็นสัญลักษณ์ของเอฟฟิซุสคือหอสมุดเซลซุส (Library of Celsus)เป็นอาคารสองชั้นด้านหน้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเพื่อรับแสงสว่างยามเช้าห้องสมุดนี้สร้างขึ้นในราวปีค.ศ. 114 โดย ทิเบเรียสจูเลียส อกีลา (Julius Aquila) เพื่ออุทิศให้เป็นอนุสรณ์แด่พ่อของท่านซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีของโรมันที่ปกครองแคว้นเอเชียไมเนอร์ด้านหน้ามีรูปปั้นของเทพี 4 องค์ ได้แก่ Sophia (wisdom - ปัญญา), Arete (virtue - ความดี), Ennoia (thought - ความคิด), Episteme (knowledge - ความรู้) จากนั้นนำท่านเข้าชมสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอฟฟิซุสคือโรงละคร (Great Theatre)ซึ่งสร้างโดยการสกัดไหล่เขาให้เป็นที่นั่งสามารถบรรจุคนได้ถึง 25,000 คน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 10 ของประชากรในยุคนั้นเดิมสร้างตั้งแต่สมัยกรีกโบราณโรมันมาปรับปรุงซ่อมแซมให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น ได้เวลานำท่านช้อปปิ้งณ ศูนย์ผลิตเสื้อหนังคุณภาพสูง ซึ่งผลิตเสื้อหนังส่งให้กับแบรนด์ดังในอิตาลี อิสระให้ท่านเลือกซื้อสินค้าตามอัธยาศัย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก
นำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก Radisson Aliaga Hotel *****หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่เมืองเพอร์กามอน(ระยะทาง 100 กม.ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม.)นครยุคเฮเลนิสติคอันยิ่งใหญ่แห่งนี้เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม การค้าและการแพทย์ในอดีตเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของเมืองศูนย์กลางอารยธรรมเฮเลนิสติคในแถบเมดิเตอร์เรเนียนอย่างเอฟฟิซุสและอันติออคแหล่งโบราณสถานแห่งนี้อยู่ในยุคราชวงศ์อัตทาลิด อันทรงอำนาจแห่งเปอร์กามันช่วงที่บ้านเมืองรุ่งเรืองที่สุดคือศตวรรษที่ 2 และ 3 ก่อนคริสตกาลนับเป็นเมืองแห่งศิลปินและนักวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงเมื่อครั้งชาวอียิปต์เลิกส่งกระดาษปาปิรุสมาให้กระดาษหนังก็ถูกคิดค้นขึ้นที่เมืองนี้นำท่านชมวิหารเอสเคลปิออน(Asklepion) ซากวิหารเอสเคลปิออนตั้งอยู่เบื้องล่างทางตะวันตกของตัวเมืองสร้างถวายเอสเคลปิออสเทพแห่งการแพทย์วิหารแห่งนี้ไม่ใช่คลินิกธรรมดาแต่เป็นศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพที่สมบูรณ์แบบแห่งแรกในประวัติศาสตร์มีขั้นตอนการรักษาดังนี้เริ่มจากคนไข้ซึ่งอาจเป็นนักธุรกิจ นักการเมืองหรือแม่ทัพนายกองชาวกรีกและโรมันที่ตรากตรำงานหนักมานานจะเดินทางมายังวิหารผู้ดูแลจะออกมาต้อนรับจากนั้นพาเดินมาตามทางศักดิ์สิทธิ์หรือเวียเตกตา ซึ่งมีเสาคอลัมน์เรียงรายวิธีรักษามีให้เลือกมากมาย ทั้งการนวดและผัสสะบำบัดเพื่อช่วยผ่อนคลายความเมื่อยนอกจากนี้ยังมีการรักษาแบบจิตบำบัดอีกด้วย
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านเดินทางสู่เมืองทรอย (Troy)นำท่านชมม้าไม้แห่งกรุงทรอยอันโด่งดังซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุธยุทโธปกรณ์อันชาญฉลาดในสมัยนั้นและเป็นสาเหตุให้กรุงทรอยถึงคราล่มสลายและยังเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่หลงใหลในมหากาพย์อีเลียดได้เห็นด้วยตาของตนเอง
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
นำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก Kolin Hotel *****หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่นครอิสตันบูล (ระยะทาง 300 กม.ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4.30 ชม.) จากนั้นนำท่านข้ามฟากโดยเรือเฟอร์รี่สู่นครอิสตันบูลเป็นเมืองที่มีความสำคัญและเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในตุรกีเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus) เดิมชื่อว่า คอนสแตนติโนเปิลซึ่งเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์เป็นเมืองสำคัญของชนเผ่าจำนวนมากในบริเวณนั้น จึงส่งผลให้อิสตันบูลมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป เช่น ไบแซนเทียม คอนสแตนติโนเปิล เป็นต้น
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารไทย
บ่าย นำท่านเข้าชมพระราชวังโดลมาบาชเช่(Dolmabahce Palace) พระราชวังที่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญอย่างสูงสุดทั้งทางวัฒนธรรมและทางวัตถุของจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งได้แผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวาง พระราชวังแห่งนี้สร้างโดย สุลต่าน อับดุล เมอซิท ในปี ค.ศ. 1843 ใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 12 ปี เพราะความที่สุลต่านทรงเป็นผู้คลั่งไคล้ยุโรปอย่างสุดขอบ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นศิลปะ วัฒนธรรม การดำรงชีวิต ตลอดจนการทหาร ล้วนคัดลอกมาจากตะวันตกทั้งสิ้น พระราชวังแห่งนี้ออกแบบโดยสถาปนิกคู่ใจชาวอาเมเนี่ยนนามบัลยัน เป็นศิลปะผสมผสานของยุโรปและตะวันออกที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม ภายนอกตกแต่งด้วยสวนไม้ดอกรายล้อมพระราชวังซึ่งอยู่เหนืออ่าวเล็กๆของช่องแคบบอสฟอรัส ภายในประกอบด้วยห้องต่างๆ ตกแต่งด้วยโคมระย้า บันไดลูกกรง แก้วเจียระไน และ โคมไฟมหึมาหนัก 4.5 ตัน ซึ่งแขวนไว้อย่างโดดเด่นในห้องท้องพระโรงใหญ่ ได้เวลานำท่านล่องเรือชมช่องแคบบอสฟอรัสซึ่งเป็นช่องแคบที่เชื่อมทะเลดำ (The Black sea) กับทะเลมาร์มาร่า (Sea of Marmara) ความยาวทั้งสิ้นประมาณ 32 กิโลเมตร ความกว้างตั้งแต่ 500 เมตรจนถึง 3 กิโลเมตร ถือว่าสุดขอบของทวีปยุโรปและสุดขอบของทวีปเอเชียมาพบกันที่นี่ นอกจากความสวยงามแล้ว ช่องแคบบอสฟอรัสยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งในการป้องกันประเทศตุรกีอีกด้วย เพราะมีป้อมปืนตั้งเรียงรายอยู่ตามช่องแคบเหล่านี้ ขณะที่ล่องเรือท่านจะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ข้างทางไม่ว่าจะเป็น พระราชวังโดลมาบาชเช่ หรือ บ้านเรือนสไตล์ยุโรปของบรรดาเศรษฐี ซึ่งล้วนแล้วแต่สวยงามตระการตาทั้งสิ้นจากนั้นนำท่านสู่ตลาดสไปซ์ มาร์เกต (Spice Market) หรือตลาดเครื่องเทศ ท่านสามารถเลือกซื้อของฝากได้ในราคาย่อมเยา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ ชาหรือกาแฟ รวมถึงผลไม้อบแห้งอันเลื่องชื่อของตุรกี อย่างแอปปริคอทหรือจะเป็นถั่วพิชทาชิโอ ซึ่งมีให้เลือกซื้อมากมาย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารจีน
นำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก Tryp by Wyndham Airport Hotel ***** หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่านเข้าชมพระราชวังทอปกาปึ (Topkapi Palace) ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 หรือ เมห์เมตผู้พิชิต ภายหลังที่ทรงตีกรุงคอนสแตนติโนเบิลหรืออิสตันบูลในปัจจุบันได้แล้ว ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรออตโตมันจึงได้โปรดให้มีการสร้างพระราชวังนี้ขึ้นเป็นที่ประทับอย่างถาวร พระราชวังทอปกาปึนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่กินเนื้อที่เกือบ 700,000 ตารางเมตร ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงตามแนวฝั่งทะเลมาร์มารา ภายในพระราชวังประกอบด้วยตำหนักน้อยใหญ่ พลับพลา พระคลังมหาสมบัติ มัสยิส หอพัก โรงเรียนฯลฯปัจจุบันพระราชวังทอปกาปึกลายเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ใช้เก็บมหาสมบัติอันล้ำค่าอาทิ เช่น เพชร 96 กะรัต กริชทองประดับมรกต เครื่องลายครามจากจีน หยก มรกต ทับทิม และเครื่องทรงของสุลต่านในแต่ละยุคสมัย
นำท่านชมสนามแข่งม้าของชาวโรมัน หรือ “ฮิปโปโดรม”(Hippodrome) หรือจัตุรัสสุลต่านอาห์เมต สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิ เซปติมิอุส เซเวรุส เพื่อใช้เป็นที่จัดแสดงกิจกรรมต่างๆของชาวเมือง ต่อมาในสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนติน ฮิปโปโดมได้รับการขยายให้กว้างขึ้น ตรงกลางเป็นที่ตั้งแสดงประติมากรรมต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นศิลปะในยุคกรีกโบราณ ในสมัยออตโตมันสถานที่แห่งนี้ใช้เป็นที่จัดงานพิธี แต่ในปัจจุบันเหลือเพียงพื้นที่ลานด้านหน้ามัสยิสสุลต่านอะห์เมตซึ่งเป็นที่ตั้งของเสาโอเบลิกส์ 3 ต้นคือ เสาที่สร้างในอียิปต์เพื่อถวายแก่พาโรห์ตุตโมซิสที่ 3 ถูกนำกลับมาไว้ที่อิสตันบูล เสาต้นที่สองคือ เสางู และเสาต้นที่สามคือ เสาคอนสแตนตินที่ 7 จากนั้นนำท่านถ่ายรูปกับสุเหร่าสีน้ำเงิน (Blue Mosque)ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสุลต่านอะห์เมตที่ 1 ซึ่งมีพระประสงค์ที่จะสร้างมัสยิดของจักรวรรดิออตโตมันให้มีความงดงามและยิ่งใหญ่กว่าโบสถ์เซ็นต์โซเฟีย (St. Sophia) ของจักรวรรดิ ไบแซนไทน์ให้ได้ โดยสุเหร่าแห่งนี้สร้างประจันหน้ากับโบสถ์เซ็นต์โซเฟีย อย่างไรก็ตาม โบสถ์เซ็นต์โซเฟียก็ยังคงเป็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตุรกีจวบจนปัจจุบัน นำท่านถ่ายรูปกับโบสถ์เซนต์โซเฟีย (ST. Sophia) ซึ่งเป็นศิลปะแบบไบเซนไทม์ ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณสร้างขึ้นสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน ของจักรวรรดิไบแซนไทน์ เดิมใช้เป็นโบสถ์คริสต์ แต่หลังจากจักรวรรดิออตโตมันเข้ามาปกครองจึงได้เปลี่ยนโบสถ์ดังกล่าวมาเป็นมัสยิส แต่ได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในสมัย เคมาล อะตาเตริ์ก หลังจากที่เป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์เป็นเวลากว่า 916 ปี และเป็นมัสยิสของศาสนาอิสลามอีกกว่า 447 ปี ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความงามและความยิ่งใหญ่ ภายในมีภาพประดับโมเสกทองที่สมบูรณ์บ่งบอกถึงความศรัทธาอันแรงกล้าของจักรพรรดิคอนสแตนตินที่มีต่อคริสต์ศาสนา
12.00 น. นำท่านเดินทางสู่สนามบินอิสตันบูล
กลางวัน อิสระอาหารกลางวันตามอัธยาศัยในสนามบิน
15.20 น. ออกเดินทางสู่ประเทศไทย โดยเที่ยวบินที่ TK 58 (ใช้เวลาบินประมาณ 9 ชั่วโมง) สายการบินฯ มีบริการอาหารค่ำและอาหารเช้าระหว่างเที่ยวบิน
04.45 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ (BON VOYAGE)
55 หมู่ 6 ดอนเปา แม่วาง เชียงใหม่ 50360