23.30 น. พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 แถว U ประตูทางเข้าที่ 9 เตาน์เตอร์สายการบิน เอมิเรตส์ แอร์ไลน์(EK) เจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกให้แก่ท่าน
03.30 น. เหิรฟ้าสู่กรุงดูไบ ประเทศสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสายการบินเอมิเรตส์ แอร์ไลน์เที่ยวบินที่ EK371
06.50 น. เดินทางถึงสนามบินดูไบ เพื่อเปลี่ยนเครื่อง
10.00 น. ออกเดินทางสู่กรุงซาเกรบ ประเทศโครเอเชีย โดยสายการบิน เอมิเรตส์ แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ EK2010
14.10 น. เดินทางถึงกรุงซาเกรบ ประเทศโครเอเชีย นำท่านเดินทางเข้าสู่ตัวเมือง เที่ยวชม กรุงซาเกรบ (ZAGREB) เมืองหลวงของโครเอเชีย ศูนย์กลางการ ปกครองเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของประเทศ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำซาว่า (Sava) และไหล่เขาเม็ดเว็ดนิก้า (Medvednica) นำท่าน ชมเมืองเก่า ของกรุงซาเกรบ ซึ่งจัดแบ่งออกเป็น 2 เขต คือ Lower & Upper Town ได้อย่างลงตัว ผ่านชมโรงละครแห่งชาติที่สร้างขึ้นในสไตล์นีโอบาร็อค จากนั้น ผ่านชมอาคารรัฐสภา (Sabor) ที่บอกเล่าถึงความเป็นมาของชนชาติโครแอตที่แยกตัวเองจากยูโกสลาเวียในอดีต ชม มหาวิหารเซนต์สตีเฟ่น (St.Stephen Cathedral) สถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 800 ปี และปัจจุบันได้บูรณปฏิสังขรณ์ในสไตล์นีโอ-โกธิค ที่งดงามด้วยหอคอยแฝดปลายแหลมสีทองอร่าม ภายในประดิษฐานรูปนักบุญองค์สำคัญต่างๆ เช่น นักบุญเซนต์ปีเตอร์ เซนต์ปอลล์ นำท่าน ชมกำแพงหินโบราณ ยุคคริสต์ศตวรรษที่ 13 ที่สร้างรายล้อมเมืองเก่าที่คงความอัศจรรย์ของภาพพระแม่มารี ที่ไม่ผูกทำลายเมืองไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.1731 ผ่านชมและถ่ายรูปกับโบสถ์เซนต์มาร์ค (Church of St.Mark) ที่โดดเด่นด้วยหลังคาที่มีการปูกระเบื้องเป็นสีสัน ลวดลายตราหมากรุกแดงขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโครเอเชีย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก HOTEL INTERNATIONAL หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางต่อไปยัง อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ (PLITVICE) แห่งแคว้น Istria & Kvarner ระหว่างทางชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวโครแอต ซึ่งเป็นชนชาติหนึ่งในเผ่าสลาฟ ผ่านชมทัศนียภาพและธรรมชาติอันงดงามของขุนเขาตอนกลางของประเทศ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเหตุการณ์ความไม่สงบของประเทศในการสู้รบระหว่างสองชนชาติ ชาวโครแอตและชาวเซิร์บ เมืองที่ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของประเทศ และได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปี ค.ศ.1949 ปัจจุบันมีพื้นที่ประมาณ 300 ตารางกิโลเมตร ท่ามกลางทะเลสาบ 16 แห่งและป่าไม้นานาพันธุ์ จนองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนประกาศให้เป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ.1979
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย นำท่าน ชมอุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิตวิเซ่ (Plitvice Lakes National Park)สถานที่ที่ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปี ค.ศ.1949 ปัจจุบันมีพื้นที่ประมาณ 300 ตารางกิโลเมตร ท่ามกลางทะเลสาบ 16 แห่งและป่าไม้นานาพันธุ์ จนองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนประกาศให้เป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ.1979 นำท่านเดินชมธรรมชาติไปตามทางเดินเท้าที่จัดไว้อย่างเป็นสัดส่วน ลัดเลาะไปตามทะเลสาบ และน้ำตก ตื่นตาตื่นใจไปกับความบริสุทธิ์ สุขสดชื่น จากนั้นนำท่านล่องเรือชมความสวยงามของท้องน้ำสีครามในอุทยานแห่งชาติทะเลสาบ ตลอดจนไม้ป่าจำพวกสน สุดแสนประทับใจกับความงดงาม จากนั้นออกเดินทางสู่เมืองโวดิเซ่ เมืองชายฝั่งทะเลอาเดรียติก
ออกเดินทางต่อไปยัง เมืองซาดาร์ (ZADAR) เมืองท่าสำคัญของโครเอเชียทางฝั่งทะเลอาเดรียติก และเป็นศูนย์กลางของซาดาร์เคาน์ตี้ แคว้นดับเมเชี่ยนทางตอนเหนือ
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก HOTEL KOLOVARE หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชมบรรยากาศที่สวยงามของซาดาร์ แวะเก็บบันทึกภาพประตูเมืองโบราณ Kopnena Vrata ผ่านชมโบสถ์ St.Donatus สิ่งก่อสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ชม “Sea Organ” สถาปัตยกรรมการก่อสร้างเครื่องดนตรีโดยอาศัยเกลียวคลื่นที่ซัดเข้ากระทบกับบันไดหินอ่อนและท่อใต้ขั้นบันไดก่อให้เกิดเป็นท่วงทำนองเสียงดนตรี เป็นผลงานการออกแบบของสถาปนิก Nikola Basic ซึ่งเปิดให้สาธารณะชนเข้าชมนับตั้งแต่ วันที่ 15 เมษายน ปี ค.ศ.2005 ที่ผ่านมา จากนั้นนำท่านเดินสู่ เมืองสปลิต (SPLIT) เมืองศูนย์กลางการพาณิชย์ การคมนาคมของแคว้นดัลเมเชียและเป็นเมืองชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนที่ใหญ่ที่สุดในโครเอเชีย อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดด้วย สปลิตนับอายุได้กว่า 1,700 ปี โดยมีพระราชวังดิโอคลิเธียน ประกอบด้วยศาลาว่าการเมืองสไตล์เรอเนสซองส์ สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15 อาคารบ้านเรือนเก่าแก่ต่างๆ
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
นำท่านเข้าชม พระราชวังดิโอคลิเธียน (Diocletian Palace) ที่ประทับของจักรพรรดิ “ดิโอคลิเธียน” แห่งเมืองเวนิสที่แผ่ขยายอาณาเขตจากเวนิสสู่เมืองสปลิต ในยุคโรมันโบราณ ท่านจะได้พบเห็นสถาปัตยกรรมของลานกว้างที่มีเสาสไตล์โรมันตั้งอยู่เรียงราย ภายในพระราชวังประกอบด้วยทางเข้าหลักหรือ Golden Gate มหาวิหารเทพเจ้าจูปิเตอร์ โบสถ์แห่งเทพวีนัส วิหารดอมนิอุส ที่จัดเรียงรายรวมกันอย่างลงตัว ชมย่านพีเพิลสแควร์ (Narodni Square) ศูนย์กลางทางธุรกิจ และการบริหารเมื่อสมัยศตวรรษที่ 15 และสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงเช่น รูปภาพแกะสลักสมัย Venetian-Gothic Cambi Palace Renaissance Town Hall ที่สร้างขึ้นในช่วงแรกของศตวรรษที่ 15
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก HOTEL CORNER หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
ออกเดินทางสู่ เมืองจาจเซ่(JAJCE) ประเทศประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เมืองจาจเซ่ตั้งอยู่เหนือน้ำตกพลิวา เป็นเมืองท่องเที่ยวอีกแห่งที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ด้วยทัศนียภาพที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาตินั่นเอง
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
ถ่ายภาพ น้ำตกพลิวา(Pliva Waterfalls) น้ำตกที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองจาจเซ่ ที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในน้ำตกที่สวยที่สุดในฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ และติดอันดับสวยระดับโลกเช่นกัน น้ำตกแห่งนี้มีความสูงประมาณ 22 เมตร เป็นน้ำตกที่เกิดจากแม่น้ำพลิวาและแม่น้ำวรีบาส ใกล้กันนั้นมีทะเลสาบขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่เกิดจากแม่น้ำพลิวาอีกด้วย จากนั้นเดินทางไปชม ป้อมปราการจาจเซ่(Jajce Forttress) แนวกำแพงโบราณ ที่ตั้งอยู่บนเขาทางเหนือของเมือง ที่ท่านสามารถชมวิวรอบเมืองได้จากตรงนี้ พาท่านชม วิหารใต้ดินจาจเซ่(Jajce Underground Church) สุสานของ Hrvoje Vukcic ขุนนางคนสำคัญของบอสเนีย อีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาด สุสานนี้เริ่มก่อสร้างในปี 1400 ใช้เวลากว่า 16 ปีในการก่อสร้าง ซึ่งสร้างแล้วเสร็จในปี 1416
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก HOTEL PLIVSKO JEZERO หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ กรุงซาราเจโว เมืองหลวงของบอสเนีย ระยะทางประมาณ 129 กิโลเมตร ประมาณ 2 ชั่วโมง อีกหนึ่งเมืองที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงสงครามยูโกสลาเวีย ซึ่งเมืองนี้ได้รับว่าเป็นอีกเมืองที่มีความปลอดภัยมากที่สุดในยุโรป อีกทั้งยังเคยติดอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองที่ต้องเดินทางมาเที่ยว ประจำปี 2011-2012 โดยนิตยสาร Lonely Planet ส่วนในปี 2014 ยังเคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงในการเป็น EUROPEAN CAPITAL OF CALTURE อีกด้วย
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
ชม อุโมงค์หนีภัย(Sarajevo Tunnel) ที่สร้างขึ้นในช่วงสงครามบอสเนียระหว่างปี 1992-1995 สร้างโดยประชาชนชาวซาราเยโว เพื่อป้องกันกองกำลังเซอร์เบีย รวมถึงเป็นช่องทางในการขนส่งเสบียง พาท่านชม ย่านเมืองเก่า BASCARSIJA ตามแบบสไตล์ออตโตมัน-เตอร์กิช ที่อดีตเคยเป็นย่านบาซาร์เก่าแก่ของยุคออตโตมัน ส่วนในปัจจุบัน เป็นย่านใจกลางเมืองซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้า คาเฟ่ ร้านกาแฟมากมาย ชมความงดงามของ สุเหร่า GAZI HUSREV-BEG MOSQUE สุเหร่าแบบออตโตมันที่สำคัญที่สุดในเมือง ชม มหาวิหารประจำเมืองซาราเยโว(The Cathedral of Jesus Heart) วิหารที่ใหญ่ที่สุดของบอสเนีย เป็นที่ประจำตำแหน่งของพระราชาคณะ ที่ออกแบบตามสถาปัตกรรมแบบนีโอ-กอธิค ที่สร้างในช่วง ค.ศ.1884-1889 นำท่านชม สะพานลาติน(Latin Bridge) ซึ่งเป็นจุดที่อาร์ค ดยุค ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์(Franz Ferdinand) รัชทายาทแห่งวงศืออสเตรียถูกลอบปลงพระชนม์โดยชาวซาราเยโวนายหนึ่ง จนกลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 จากนั้นให้อิสระท่านในการเดินชมเมืองและช้อปปิ้งตามอัธยาศัย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก HOTEL SANA หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ เมืองโมสตาร์(MOSTAR) ระยะทางประมาณ 125 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ช.ม. เมืองโมสตาร์ เป็นอีกหนึ่งในเมืองประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว หนึ่งในเมืองที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในเฮอร์เชโกวีนา(Herzegovina) ตัวเมืองนั้นตั้งอยู่ในหุบเขาของแม่น้ำเนเรตวา(Neretva River)
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
ชมสะพานหินโบราณ Stari Most ที่สร้างขึ้นในสมัยยุคกลางที่ปัจจุบันยังคงเปิดใช้งาน ถูกสร้างขึ้นโดยชาวเติร์ก ในปี ค.ส.1566 และถูกทำลายไปในปี 1993 ภายในเมืองเราสามารถพบเห็นสถาปัตยกรรมโบราณหลายรูปแบบที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว และในปี ค.ศ.2005 องค์การยูเนสโก ได้ยกให้สะพานโบราณรวมไปถึงบริเวณใกล้เคียงเป็นมรดกโลกของบอสเนียและเฮอร์เชโกวีนา จากนั้นอิสระให้ท่านได้เลือกซื้อสินค้าที่ระลึกบริเวณตลาดพื้นเมือง(Old Bazaar) และเดินชมย่านเมืองเก่าตามอัธยาศัย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก HOTEL EMEN หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
ออกเดินทางสู่ เมืองดูบรอฟนิค(DUBROVNIK) เมืองทางตอนใต้ของสาธารณรัฐโครเอเชีย ระยะทาง 148 ก.ม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ช.ม. ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองเก่าแก่ที่สวยที่สุดในยุโรป จนได้สมญานาม ‘ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก’ เป็นเมืองที่มีอำนาจทางทะเลตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และมีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า มีสถาปัตยกรรมมากมายทั้งพระราชวัง โบสถ์ วิหาร น้ำพุ อาคารบ้านเรือนที่ได้รับการตกแต่งสวยงามตามยุคสมัย
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
นำท่านชมบริเวณย่านเมืองเก่า(Old Town) ซึ่งเคยเป็นเป้าหมายการโจมตีจากกองทหารยูโกสลาฟ บ้านเรือนมากกว่าครึ่งได้รับความเสียหาย ทรุดดทรม จนกระทั่งในปี ค.ศ.1995 ได้มีการลงนามในสนธิสัญญา สงบศึก Erdut องค์การยูเนสโก(UNESCO) และสหภาพยุโรปจึงได้ร่วมบูรณปฏิสังขรณ์เมืองขึ้นมาใหม่ และได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ซึ่งเป้นเมืองที่ตั้งอยู่ตามชายฝั่งทะเลที่มีความสวยงาม บริเวณตัวเมืองเป็นป้อมปราการโบราณที่เป็นสัญลักษณ์ของเมือง เยี่ยมชมสถาปัตกรรมโบราณกรีก-โรมันบริเวณภายนอกของ Rector’s Palace ศูนย์กลางการบริหารของเมืองตูบรอฟนิคใรในอดีต เก็บภาพด้านหน้าของ ที่สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่เก็บรักษาเอกสารโบราณสำคัญๆ รวมไปถึงคำจารึกโบราณภาษาละตินโบราณที่ใช้เตือนใจเหล่าพ่อค้าวาณิชทางทะเลว่า “ห้ามกระทำการโกงน้ำหนักในการซื้อขาย ขณะที่ท่านชั่ง หรือตวงสินค้า เพราะพระเจ้ากำลังจับตาและวัดความซื่อสัตย์ของท่านอยู่” นำท่านเดินชมอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ภายในป้อมปราการต่างๆ เช่น Dominican Monastery Church of St.Blaise ในสไตล์บาร็อค วิหารFranciscan Monasteryชมสถาปัตยกรรมแบบโกธิค Fort of St.John ประตู Pile Gate, Ploce Gate จากนั้น นำท่านเดินชมอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ภายในป้อมปราการต่างๆ เช่น Dominican Monastery Church of St.Blaise ในสไตล์บาร็อค วิหารFranciscan Monastery ชมสถาปัตยกรรมแบบโกธิค Fort of St.John ประตู Pile Gate, Ploce Gate จากนั้นนำท่าน ทัวร์กำแพงเมืองโบราณ (City Walls) ซึ่งเป็นจุดเด่นของเมืองดูบรอฟนิค ที่มีกำแพงยาวประมาณ 1,940 เมตร สูง 25 เมตร สลับด้วยหอรบ 5 หอ หอคอยทรงกลม 3 หอ และทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสี่เหลี่ยมผืนผ้า 12 หอ สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 ได้ชื่อว่ามีความมั่นคงและแข็งแกร่งที่สุดในน่านน้ำนี้ ในช่วงที่มีการขยายอำนาจของอาณาจักรออตโตมัน กำแพงเมืองที่มีความหนา 3 เมตร ได้รับการเสริมเพิ่มเติมเป็น 6 เมตร แต่ดูบรอฟนิคต้องประสบกับภัยทางธรรมชาติ ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.1667 มีคนเสียชีวิตกว่า 5,000 คน ทำให้ตัวเมืองเสียหายมาก แต่ทว่ากำแพงยังคงอยู่ และประสบภัยอีกครั้งจากสงคราม ถูกถล่มโดยจรวดของกองทัพยูโกสลาเวียในปี ค.ศ.1991 แต่ความเสียหายในส่วนนี้ได้รับเงินทุนสนับสนุนในการซ่อมแซมจากองค์การยูเนสโก ท่านจะได้ประทับใจกับวิว ทิวทัศน์ขณะที่เดินไปตามแนวสันของกำแพง ซึ่งมีทั้งอาคารสถาปัตยกรรมโบราณสไตล์บาร็อคในย่านเมืองเก่า และท้องทะเลสีครามที่สามารถมองออกไปไกลสุดสายตา ภายใต้ท้องฟ้าแสนสดใส บางช่วงตอนของกำแพงจะต้องผ่านป้อมปราการที่ใหญ่มหึมา และหาดที่เต็มไปด้วยหินผา
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก GRAND HOTEL PARK หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ เมืองคัฟถัต (CAVTAT) ชมวิวทิวทัศน์ของเมืองดูบรอฟนิคเป็นการส่งท้ายแบบเต็มอิ่ม “คัฟถัต” เป็นเมืองเล็กๆ น่ารักริมชายฝั่งทะเลมีชายหาดที่งดงามยาวถึง 15 กิโลเมตร เป็นอาณานิคมของกรีกในอดีต ต่อมาถูกปกครองโดยโรมัน ก่อนที่จะถูกชนชาติสลาฟรุกรานจนในที่สุดตกอยู่ภายใต้อาณัติการปกครองของสาธารณรัฐกูซา ที่ได้ซื้อคัฟถัตนี้จากดยุกพาฟโลวิก ถ่ายรูปกับภาพวาด “Our Lady of Cavtat” อันมีค่า วาดโดยคาเมร่า เรคเกีย พาแรมิตาน่า ศิลปินชาวดูบรอฟนิค
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
14.00 น. นำท่านเดินทางสู่สนามบินเมืองคัฟถัต
16.10 น. ออกเดินทางสู่กรุงซาเกรบ โดยสารการบินโครเอเชีย แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ OU665
17.15 น. เดินทางถึงสนามบินซาเกรบ นำท่านเดินทางสู่เมืองซาเกรบ
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก HOTEL INTERNATIONAL หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
10.00 น. ออกเดินทางสู่สนามบินกรุงซาเกรบ
14.35 น. ออกเดินทางสู่เมืองดูไบ โดยสายการบิน เอมิเรตส์ แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ EK2013
23.10 น. เดินทางถึงสนามบินเมืองดูไบ เพื่อเปลี่ยนเครื่อง
03.05 น. ออกเดินทางสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบิน เอมิเรตส์ แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ EK384
12.05 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ
55 หมู่ 6 ดอนเปา แม่วาง เชียงใหม่ 50360